วิเคราะห์กระบวนการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษานโยบายและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ๒) เพื่อศึกษากระบวนการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และ๓) เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ บุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ วิทยาเขตนครศรีธรรมราช, วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี, ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี, หน่วยวิทยบริการสงขลา, และสถาบันสมทบมหาปัญญา ซึ่งคณะผู้วิจัยจะทำการสุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง ได้ตัวแทนทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ รูป/คน เก็บข้อมูลโดย การสนทนากลุ่ม เพื่อทราบถึงกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ผลการวิจัยพบว่า ๑) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ได้มีการดำเนินงานตามแผนพัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในช่วงแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) โดยการนำนโยบายทางด้านการบริหาร การจัดการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษาทั้งภายในและภายนอก การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม การวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยี มาใช้ในการบริหารจัดการส่วนงานเพื่อบรรลุตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฯ ๒) งบประมาณที่ใช้จ่ายส่วนมากเป็นงบลงทุน เนื่องจากส่วนงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีการขยายตัวไปอย่างรวดเร็วในการพัฒนาแต่ยังขาดอาคารสถานที่ในการพัฒนาจึงทำให้มีการพัฒนาในงบประมาณด้านการลงทุนที่สูงกว่าด้านอื่น ๆ และ๓) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีต้นทุนเฉลี่ยต่อปีในการจัดการศึกษาสูงขึ้น ๑.๑๒% โดยที่ความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายและยุทธศาสตร์ พบว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีการลงทุนในสาขารัฐศาสตร์ มากที่สุด ส่วนสาขาสอนภาษาอังกฤษ มีการลงทุนน้อยที่สุด โดยที่ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ มีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๔๙ และมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา น้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๗ ส่วนในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ มีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๕๙ และมีค่าใช้จ่ายด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม น้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๑ คณะผู้วิจัยได้เสนอแนวทางสำคัญไว้ดังนี้ (๑) ต้องมีการเสริมแผนงานตามบริบทท้องที่เพิ่มเข้าไปในแผนกลยุทธ์ของส่วนงาน เพื่อเป็นการพัฒนาร่วมกันกับชุมชนและสังคมตามนโยบายชาติ ที่จะ มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนของส่วนงานต่อไป (๒).ต้องให้ความสำคัญในการส่งเสริมงบประมาณรายจ่ายในเรื่องของการวิจัยให้กับบุคลากรในพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะทำให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฯ (๓).ต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบการจัดทำงบประมาณเกี่ยวกับโครงการในแต่ละปี โดยมุ่งเน้นผลงานเป็นสำคัญอีกทั้งต้องควบคุมและบริหารต้นทุน โดยจำแนกความจำเป็นก่อนหลัง ตามหลักทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการศึกษา และต้องสร้างเครือข่ายกับองค์กรภายนอกมหาวิทยาลัยฯ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต