Please use this identifier to cite or link to this item: http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1245
Title: การสารวจแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัดนครสวรรค์- อุทัยธานี
Other Titles: A Survey Study on the Buddhist archeological sites in the Dvaravati period in Nakhon Sawan-Uthai Thani Province.
Authors: พระเทพวัชราจารย์
ผาทา, อธิเทพ
คัชชิมา, กังวล
แพงทรัพย์, คงสฤษดิ์
ชามพูนท, วิสารินท์
ชูวิลัย, ไกรวุฒิ
Keywords: สิ่งแวดล้อม
แหล่งโบราณคดี
แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา
กำรศึกษาเชิงสำรวจ
Issue Date: 2565
Abstract: งานวิจัยเรื่อง “การศึกษาเชิงสารวจสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีในจังหวัดนครสวรรค์- อุทัยธานี” โดยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ (1) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดี ชุมชน(2) เพื่อศึกษาเชิงสารวจแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัดนครสวรรค์- อุทัยธานี(3) เพื่อศึกษาคุณค่าของแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัด น ครส วรรค์-อุทัยธานี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณ ภาพ (Qualitative Research) โดยใช้ กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มาเป็นส่วนหนึ่งของการดาเนินการวิจัย เน้น การศึกษาวิเคราะห์ทั้งในเชิงพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย มีการจัดกระบวนการวิจัยด้วยการถอดบทเรียนและ การบูรณาการข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ การสังเกต และการปฏิบัติการร่วมกันในพื้นที่ศึกษาและ กลุ่มเป้าหมายที่กาหนดไว้โดยใช้กระบวนการตามวงจรเดมมิง (PDCA) เป็นเครื่องมือในการดาเนินงาน การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า (1) สิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสาคัญ เนื่องจากว่าแหล่งโบราณคดีนั้นถือว่าเป็นโบราณสถานหรือโบราณวัตถุที่ได้รับการสร้างสรรค์มาจาก ผู้คนในยุคโบราณซึ่งมีความเชื่อและค่านิยมเกี่ยวกับศาสนาหรือสิ่งที่เป็นรูปเคารพของตนจากยุคก่อน ประวัติศาสตร์จนถึงยุคประวัติศาสตร์ที่ผ่านกาลเวลาและยังคงหลงเหลือไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ ศึกษา ซึ่งสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีนั้นจะต้องได้รับการรักษาหรือการศึกษาค้นคว้าแล้วทาการ อนุรักษ์เพื่อให้ยังคงอยู่หรือเพื่อให้อนุชนคนรุ่นต่อๆมาได้ศึกษาถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาและ ข ร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งอดีต โดยหลักการอนุรักษ์นั้นจะต้องอาศัยหลักของการมี ส่วนร่วมจากชุมชนและสังคมเป็นสาคัญ (1) จากการลงพื้นที่สารวจแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัด นครสวรรค์-อุทัยธานี ก็จะพบว่า แหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัด นครสวรรค์นั้นมีเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่กาหนดเป็นพื้นที่ ศึกษาจานวน 3 เมือง ได้แก่ (1) เมืองจัน เสน ตาบลจันเสน อาเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ (2) เมืองโคกไม้เดน ตาบลท่าน้าอ้อย-ม่วงหัก อาเภอพะยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ (3) เมืองดงแม่นางเมือง ตาบลตาสังข์ อาเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งทั้ง 3 เมืองนี้ล้วนเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในยุคทวารวดี และแหล่งโบราณคดีทาง พระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัดอุทัยธานีนั้นมีเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่กาหนดเป็นพื้นที่ ศึกษาจานวน 2 เมือง ได้แก่ (1) เมืองโบราณบึงคอกช้าง ตาบลไผ่เขียว อาเภอสวางอารมณ์ จังหวัด อุทัยธานี และ (2) เมืองท่าการุ้ง ตาบลเมืองการุ้ง อาเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานีซึ่งทั้ง 5 เมืองนี้ล้วน เป็นเมืองที่เกิดขึ้นในยุคทวารวดีโดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นผู้เป็นเจ้าของเมืองก็คือ มอญ-เขมรโบราณที่ ได้เข้ามาสร้างความเจริญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-16 โดยชาวเมืองนับถือศาสนาที่มีอิทธิพลต่อความ เชื่อของชาวเมืองและเป็นศาสนาประจาเมืองของชาวทวารวดีก็มีอยู่ 2 ศาสนาคือ (1) “ศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีการนับถือที่เมืองโบราณจันเสนแห่งเดียวเท่านั้น และ (2) พระพุทธศาสนาเถร วาทนิกายสรวาสติวาทิน ซึ่งมีผู้นับถือจานวนมากที่เมืองจันเสน,โคกไม้เดน,ดงแม่นางเมือง,บึงคอกช้าง และท่าการุ้ง นอกจากนั้นผลการลงพื้นที่สารวจพบว่าเมืองโบราณแต่ละแห่งพบวัตถุโบราณจานวน มากมีทั้งพระพุทธรูป พระพิมพ์ เป็นต้นและพื้นที่ที่เป็นผังเมืองโบราณทั้ง 5 แห่ง อย่างชัดเจน นอกจากนั้นก็ยังพบจารึกที่บันทึกด้วยอักษรปัลลวะและขอมโบราณอีกหลายหลัก จากการลงพื้นที่สารวจแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัด นครสวรรค์-อุทัยธานีพบว่า พื้นที่ของแหล่งโบราณคดีทางพระพุทธศาสนาสมัยทวารวดีในจังหวัด นครสวรรค์-อุทัยธานีมีความสาคัญต่อคนในพื้นที่เมืองโบราณมากเพราะเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน รวมถึงเป็นแหล่งที่เป็นหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ของเมือง,ศาสนาและผู้คนในเมือง และจะพบว่า แหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีเหล่านั้นถือว่าเป็น “ทรัพยากรที่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ด้านการอนุรักษ์ ด้านวิชาการ และด้านการท่องเที่ยวอันเป็นส่วนที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน และประชาชนในท้องถิ่นได้ โดยที่หน่วยงานของรัฐ เอกชนสามารถที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาแหล่ง โบราณคดีภายในจังหวัดให้เป็นพื้นที่หรือแหล่งเรียนรู้และการท่องเที่ยวในอนาคตได้
URI: http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1245
Appears in Collections:รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
ว.013.2565.ย่อย1.pdf23.74 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.