DSpace Collection:
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/62
2023-05-19T10:12:35Zการปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท ในประเทศไทย
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1077
Title: การปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท ในประเทศไทย
Authors: พระมหาชิต ฐานชิโต; พระครูพิพิธวรกิจจานุการ
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาการปฏิบัติและแนวทางการสอบอารมณ์
กรรมฐานในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท (๒) เพื่อศึกษาการปฏิบัติการสอบอารมณ์กรรมฐาน ๕ ส านัก
ในประเทศไทย (๓) เพื่อเสนอรูปแบบการปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานที่เหมาะสมกับประเทศ
ไทย เป็นการวิจัยเชิงเอกสารโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และต ารา
วิชาการทางพระพุทธศาสนาเป็นส าคัญ
ผลการวิจัยพบว่า กรรมฐาน คือ ที่ตั้งแห่งการงาน ได้แก่การฝึกจิตเป็นต้น แบ่งออกเป็น ๒
อย่าง คือ ๑) สมถกรรมฐานมี ๔๐ อย่าง กสิณกรรมฐาน ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ อนุสสติกรรมฐาน
๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปกรรมฐาน ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๔, ๒) วิปัสสนา
กรรมฐาน เป็นปัญญาที่พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ละสังโยชน์ ๑๐ ประการจนสามารถบรรลุพระอรหันต์
ได้พระพุทธองค์ตรัสกรรมฐานคือ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานไว้กับพุทธบริษัท ๔ ได้
ประพฤติและปฏิบัติตามต่างกรรมต่างวาระกัน ส่วนแนวทางการสอบอารมณ์กรรมฐานเช่นในอนัตต
ลักขณสูตร และในจปลายมานสูตร ทรงสอนอุบายแก้ง่วงแก่พระมหาโมคคัลลานเถระจนได้บรรลุพระ
อรหันต์ในเวลาต่อมา หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสอบอารมณ์กรรมฐานที่เป็นปัจจัยแก่กันและกันมี
๗ หมวด ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
และมรรค ๘ เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม เป็นธรรมที่เป็นสาระแก่นสารแห่งพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติการสอบอารมณ์กรรมฐาน ๕ ส านักในประเทศไทย คือ ๑) กรรมฐานแบบพอง ยุบตามแนวพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) มีการก าหนดภาวะที่พอง-ยุบตามความ
เป็นจริงของรูปนาม ส่วนการสอบอารมณ์ผู้สอบอารมณ์จะสอบอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ โดยใช้
ทักษะการถาม การสังเกต การแนะน า และการให้ก าลังใจ ๒) กรรมฐานแบบพุท-โธ ตามแนวหลวงปู่
มั่น ภูริทตฺโต มีการภาวนา“พุท-โธ” และการก าหนดลมหายใจเข้า-ออก มีวิธีก าหนดจิตในฐาน ๕ คือ
จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อมข้างนอก ในสมองตรงกลาง กะโหลกศีรษะ และทรวงอก มีการวางอารมณ์ที่ดีและอารมณ์ที่ชั่วไปตามสภาพอารมณ์เป็นต้น ๓) กรรมฐานแบบสัมมา-อะระหังตามแนว
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสาโร) มีวิธีการปฏิบัติมุ่งให้เรียนรู้เกี่ยวกับฐานทั้ง ๗ เช่น ฐานที่ ๑ ปาก
ช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา และฐานที่ ๗ ศูนย์กลางกาย เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ และที่ศูนย์กลาง
กายนี้ เป็นที่ตั้งแห่งการพิจารณากาย เวทนา จิตและธรรมก็จะสามารถเห็นสภาวธรรมที่เกิดดับได้ ๔)
กรรมฐานแบบเคลื่อนไหว ตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มีการเจริญสติยึดวิธีการปฏิบัติแบบ
เคลื่อนไหวเป็นหลักใช้สติก าหนดรู้เท่าทันความเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย โดยไม่ยึดติดกับรูป
แบบเดิมเพื่อจูงจิตให้เกิดสมาธิและมีการสอบอารมณ์กรรมฐาน ๕) กรรมฐานแบบอานาปานสติตาม
แนวพุทธทาสภิกขุ มีการเจริญอานาปานสติคือ การใช้สติก าหนดพิจารณาลมหายใจในกาย เวทนา จิต
ธรรม มีการปฏิบัติ ๑๖ ขั้น เพื่อบ่มเพาะสติสัมปชัญญะ เป็นการเจริญสมถะน าหน้าวิปัสสนา
ส่วนรูปแบบการปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานที่เหมาะสมกับประเทศไทย
แบ่งเป็น วิเคราะห์ความสอดคล้องการปฏิบัติการสอบอารมณ์กรรมฐานในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับ
ส านักปฏิบัติธรรม ๕ ส านักในประเทศไทย คือ ๑) ส านักกรรมฐานแบบพอง-ยุบตามแนวพระธรรมธีร
ราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) มีความสอดคล้องกับพระไตรปิฎก แต่จะใช้สติปัฏฐาน ๔ มีการ
ก าหนด ยุบหนอ-พองหนอ เป็นอารมณ์หลัก ๒) ส านักกรรมฐานแบบพุท-โธตามแนวหลวงปู่มั่น
ภูริทตฺโต มีความสอดคล้องกับพระไตรปิฎก แต่จะใช้กายคตาสติภาวนามีการก าหนดพุท-โธ เป็น
อารมณ์หลัก ๓) ส านักกรรมฐานแบบสัมมา-อะระหังตามแนวพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสาโร) มี
ความสอดคล้องกับพระไตรปิฎก แต่จะใช้สติปัฏฐาน ๔ มีการก าหนดสัมมา-อรหังเป็นอารมณ์หลัก
๔) ส านักกรรมฐานแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มีความสอดคล้องกับ
พระไตรปิฎก แต่จะใช้สติปัฏฐาน ๔ ข้อที่ ๑ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีการเคลื่อนไหวร่างกาย
๑๕ จังหวะเป็นหลัก ๕) ส านักกรรมฐานแบบอานาปานสติตามแนวพุทธทาสภิกขุ มีความสอดคล้อง
กับพระไตรปิฎก แต่จะใช้สติปัฏฐาน ๔ กับอานาปานสติเป็นหลักส าคัญในการปฏิบัติ ส่วนรูปแบบ
การปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานที่เหมาะสมกับประเทศไทย คือการปฏิบัติและการสอบ
อารมณ์กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม เพราะเป็นการปฏิบัติที่
ถูกต้องตามพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา ที่พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางในการปฏิบัติและการ
สอบอารมณ์กรรมฐานตั้งแต่สมัยพุทธกาล และมีการประยุกต์เรื่องการปฏิบัติและการสอบอารมณ์ให้
เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติกรรมฐานสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้2559-01-01T00:00:00Zคัมภีร์ลฆุเกามุที : ปริวรรต แปลความและการศึกษาวิเคราะห์
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1076
Title: คัมภีร์ลฆุเกามุที : ปริวรรต แปลความและการศึกษาวิเคราะห์
Authors: พระมหาชิต ฐานชิโต
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อปริวรรตคัมภีร์ลฆุเกามุทีฉบับภาษาสันสกฤต
อักษรเทวนาครีเป็นสันสกฤตอักษรไทย (๒) เพื่อแปลความคัมภีร์ลฆุเกามุทีฉบับภาษาสันสกฤต
อักษรไทยเป็นภาษาไทย (๓) เพื่อวิเคราะห์คัมภีร์ลฆุเกามุทีในด้านประวัติผู้เรียบเรียง โครงสร้าง
เนื้อหา คุณค่าความสอดคล้องสัมพันธ์กันทางกฎเกณฑ์ไวยากรณ์กับไวยากรณ์ภาษาบาลี
ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์ลฆุเกามุทีเป็นหลักสูตรแบบย่อความของหลักไวยากรณ์สันสกฤต
เพื่อให้ผู้ศึกษาภาษาสันสกฤตเบื้องต้นมีความเข้าใจง่ายขึ้น โดยได้น าศูตรของปาณินิคือ อัษฎธยายี มา
เป็นหลักประกอบกับคัมภีร์ด้านไวยากรณ์อื่น ๆ มาช่วยในการอธิบายกฏเกณฑ์ทางภาษาสันสกฤต
เพื่อให้ผู้เริ่มเรียนเข้าใจง่ายขึ้น คัมภีร์นี้แต่งโดย วรทราชะ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อท าให้เข้าใจหลักไวยากรณ์สันสกฤตได้ง่ายขึ้น เนื้อหาหลัก ๑๑ ส่วนคือ ๑) ส ชฺญา ๒) ส ธิ ๓)
สุพนฺต ๔) อวฺยย ๕) ติงนฺต ๖) ปฺรกฺริยา ๗)กฤทนฺต ๘) สมาส ๙) ตทฺธิต ๑๐) สฺตฺรีปฺรตฺตย ๑๑) การก
ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับโครงสร้างของหลักไวยากรณ์ภาษาบาลีแต่มีการท าค าซับซ้อนการท าสนธิ
มากกว่า โดยรูปสูตรเป็นหลักประกอบด้วย ๑) ศูตร แสดงชื่อ หลักการ วิธีการเป็นบทตั้ง ๒) วฤตติ
เป็นค าอธิบายของสูตร ๓) อุทาหรณ์การยกตัวอย่างน ามาอ้างอิง
การวิเคราะห์ด้านนามศัพท์ มีการกล่าวบทน าเป็นข้อ มีการจัดเรียงล าดับสูตรใหม่จากเดิม
ส่วนประกอบของนามศัพท์มี ลิงค์ พจน์ วิภักติ การันต์ ปรัตยยะ ในการประกอบค าแบ่งเป็นศูตรคือ
สัญชญาศูตร ปริภาษาศูตร วิธิศูตร นิยมศูตร อติเทศศูตร และอธิการศูตร โดยมีการสร้างค านาม
ประกอบกิริยาและรูปศัพท์ต่าง ๆ ซึ่งใช้เป็นแบบแผนเดียวกันกับคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีซึ่งใช้มา
ตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนที่ต่างกันคือภาษาบาลีได้มีการพัฒนาไปสู่ภาษาที่เข้าใจง่าย ศัพท์แต่ละค ามีการ
เปิดโอกาสให้ตีความหมายได้มากกว่าภาษาสันสกฤต และความหมายหนึ่งสามารถใช้ค าเรียกได้หลาย
ค า และที่ส าคัญที่สุดคือรากฐานของการประกอบศัพท์นั้นภาษาบาลีเชื่อมโยงกับการที่ความหมายค า
หรือรากค าต้องสอดคล้องกับค าสอนของพระพุทธเจ้าโดยมุ่งที่สภาวปรมัตถ์ ส่วนรากศัพท์ของ
สันสกฤตน ามาจากอรรถและธาตุและเชื่อมโยงกับความเชื่อแบบเทวนิยม
ไวยากรณ์สันสกฤตที่ต่างจากภาษาบาลีที่ชัดเจนคือ สันสกฤตมีสระ ๑๔ ตัว แบ่งเป็น ๓
ขั้นคือ ปกติ คุณะ วฤทธิ พยัญชนะ ๓๕ ตัวแบ่งเป็น ๒ กลุ่มคือวรรคและอวรรค ส่วนค านามมีลิงค์ ๓
เหมือนกันกับบาลี วจนะมี ๓ คือ เอกพจน์ ทวิพจน์ และพหุพจน์ ในขณะที่บาลีไม่มีทวิพจน์ วิภักติมี
เช่นเดียวกันทั้งวิภักตินามและวิภักติอาขยาต ในวิภักตินามสันสกฤตมี ๓ กลุ่มย่อยคือ ๑)ปัญจสถาน
๒) ภสถาน ๓) กลุ่ม ปทสถาน แต่ในภาษาบาลีไม่มีการแบ่งกลุ่ม มีวิภักติ ๑๔ ตัว การันต์มี ๒
ลักษณะคือ สระการันต์และพยัญชนะการันต์ส่วนในภาษาบาลีมีเพียงสระการันต์เท่านั้น ส าหรับกริยา(ธาตุ) จ าแนกกริยาไว้ถึง ๑๐ คณะ แต่ละคณะมีการเปลี่ยนรูป แตกต่างกันไป กริยาเหล่านี้จะแจกรูป
ตามประธาน ๓ ตามกาล ๖ ชนิด และตามมาลา ๔ ชนิด แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กันของภาษา
สันสกฤตและบาลีแม้คัมภีร์ลฆุเกามุทีเป็นเพียงคัมภีร์ประเภทไวยากรณ์แต่มีคุณค่า ๑) ด้าน
วรรณกรรมมีโครงสร้างซึ่งเชื่อมโยงกับหลักปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ ๒) ด้านการเป็นต้นแบบของ
คัมภีร์ส าเร็จรูปไวยากรณ์รุ่นหลัง ๓) คุณค่าต่อการศึกษาไวยากรณ์ภาษาบาล2560-01-01T00:00:00Zภาวะผู้นำด้านการปกครองคณะสงฆ์ในอาเซียน
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1055
Title: ภาวะผู้นำด้านการปกครองคณะสงฆ์ในอาเซียน
Authors: ดร.ธานี, สุวรรณประทีป; พระมหาสันติ ธีรภทฺโท, ดร.; พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, ดร.
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ ๑) เพื่อศึกษาหลักการและความสำคัญของภาวะผู้นำด้าน
การปกครองคณะสงฆ์ในประชาคมอาเซียน ๒) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ใช้ส่งเสริมภาวะผู้นำด้าน
การปกครองคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ๓) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ของภาวะผู้นำด้านการปกครอง
คณะสงฆ์ในประชาคมอาเซียน : กรณีศึกษาประเทศไทย และประเทศกัมพูชา
ผลการวิจัยพบว่า หลักการและความสำคัญของภาวะผู้นำ กล่าวถึงความหมายของผู้นำ
คือผู้ที่มีอิทธิพลเหนือผู้อื่นในกลุ่ม มีบทบาทสำคัญในการนำกลุ่มไปสู่ความสำเร็จ ตามเป้าหมายในการ
ทำงาน ดังนั้น ผู้นำคือผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งตั้ง การแต่งตั้ง การยกย่องจากกลุ่มชนเพ่อให้เป็นหัวหน้า
เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีอิทธิพลในการนำหรือจูงใจผู้อื่น ให้กระทำหรือดำเนินกิจการ
ต่างๆ ของกลุ่มหรือของตนเองให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ และผู้นำต้องเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรม
จึงจะว่ากล่าวตักเตือนและลงโทษบุคคลอื่นๆ ได้ ผู้นำนั้นมีบทบาทในการวางแผน งานการสั่งการการ
ตัดสินใจ การกำหนดนโยบาย การควบคุมดูแลงานสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับ บัญชาทำงานอย่างมี
ประสิทธิภาพตลอดจนรับผิดชอบต่อการทำงานต่างๆ และผลักดันงานต่างๆ สำเร็จเป็นไปตามจุดหมาย
ที่ตั้งไว้ ส่วนการปกครองคณะสงฆ์ไทยนั้นอยู่ภายใต้การปกครองโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โดย
กำหนดอำนาจหน้าที่มหาเถรสมาคม เกี่ยวข้องกับการควบคุมและส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์ ปัจจุบัน
มหาเถรสมาคมมีอำนาจที่เกี่ยวกับงานคณะสงฆ์ ๖ ประเภท คือ ๑) การปกครอง ๒) การศึกษา
๓) การศึกษาสงเคราะห์ ๔) การเผยแผ่ ๕) การสาธารณูปการ ๖) การสาธารณสงเคราะห์ การ
ปกครองคณะสงฆ์ในประเทศกัมพูชา สมเด็จพระมหาสังฆราช หรือ พระสงฆนายกมีหน้าที่คัดเลือก
พระสงฆ์เถระในมหาเถรสมาคมที่มีความสามารถ เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ ความรู้พร้อมทั้งพระสงฆ์
รองสมเด็จในตำแหน่งราชาคณะชั้นเอก เจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัด พระสงฆ์ที่ดำรงตำแหน่งในการ
ปกครองมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการงานบริหารกิจการคณะสงฆ์ ๖ ประเภท เช่นเดียวกับการปกครอง
คณะสงฆ์ไทย
หลักพุทธธรรมที่ใช้ส่งเสริมภาวะผู้นำด้านการปกครองคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
พบผู้นำการปกครองคณะสงฆ์ได้น้อมนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย อคติ ๔,
ปาปณิกธรรม ๓, อิทธิบาท ๔, พหูสูต ๕, ภาวนา ๔, กัลยาณมิตร ๗, หลักพระธรรมกถึก ๕,
พุทธวิธีการสอน ๔, สัปปายะ ๗, พรหมวิหารธรรม ๔, สังคหวัตถุ มาใช้ในการ บริหารกิจการคณะสงฆ์
๖ ด้านประกอบด้วย การปกครอง, การศาสนศึกษา, การศึกษาสงเคราะห์, ด้านการเผยแผ่,
การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์
องค์ความรู้ของภาวะผู้นำด้านการปกครองคณะสงฆ์ในประชาคมอาเซียน : กรณีศึกษา
ประเทศไทย และประเทศกัมพูชา พบว่า องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ คือ รูปแบบ “A P I B
B K D D S B S Model” ถือว่ามีคุณค่าและเป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำเสนอองค์ความรู้ของภาวะผู้นำ
ด้านการปกครองคณะสงฆ์ในประชาคมอาเซียน : กรณีศึกษาประเทศไทย และประเทศกัมพูชา (๑)
“A” (Agati ๔) = ผู้น าด้านการปกครองคณะสงฆ์ควรศึกษาหลักอคติ ๔ (๒) “P” (Papanika Dhamma ๓) = ผู้นำด้านการปกครองคณะสงฆ์ควรมีหลักปาปนิกธรรม ๓ (๓) “I” (Iddhipada
๔ ) = ผู้นำด้านศาสนศึกษาควรมีหลักอิทธิบาท ๔ (๔) “B” (Bahussutanga ๕) = ผู้นำด้านศาสน
ศึกษาควรมีหลักพหูสูต ๕ (๕) “B” (Bhavana ๔ ) = ผู้นำด้านศึกษาสงเคราะห์ควรมีหลักภาวนา ๔
(๖) “K” (Kalanamitta-dhamma ๗) = ผู้นำด้านศึกษาสงเคราะห์ควรมีหลักกัลยาณมิตร ๗
(๗) “D” (Dhammadesaka-Dhamma ๕) = ผู้นำด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาควรมีหลักหลัก
พระธรรมกถึก ๕ (๘) “D” (Desanavidhi ๔ ) = ผู้นำด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาควรมีหลัก
พุทธวิธีการสอน ๔ (๙) “S” (Sappaya ๗ ) = ผู้นำด้านสาธารณูปการควรมีหลักสัปปายะ ๗ (๑๐)
“B” (Brahmavihara ๔ ) = ผู้นำด้านสาธารณสงเคราะห์ควรมีหลักพรหมวิหาร ๔ (๑๑) “S”
(Sangahavatthu ๔ ) = ผู้นำด้านสาธารณสงเคราะห์ควรมีหลักสังคหวัตถุ ๔
This research aims at the followings; 1) studying the principle and
significance of leadership of Buddhist Sangha Administration in ASEAN community,
2) studying Buddhadhamma to support the Sangha administration in leadership in
Buddhism, 3) to figuring out the Sangha administration knowledge in ASEAN
community in case study in Thailand and Cambodia.
The results revealed that leadership refers to those who influence others
in the group. They hold a key role in bringing the group to success. So, the leader is
the one who is elected, appointed, praised by the people to be the leader. As a
person who has knowledge and ability to lead or persuade others for works within
the groups to achieve the goal set, he must perform virtues and morals strictly then
he can teach or punish the others. Leader’s roles are planning, order, making
decision, policy formation, control, supervise and systemizing the work with
effectives as well as responsibility in various sections of work to reach success as its
objectives. For administration of Thai Buddhist Sangha, according to the Sangha Act,
Sangha holds the authority of control and promotion of the Sangha affairs. There are
6 types of Sangha council; 1) administration, 2) religious education, 3) educational
welfare, 4) propagation, 5) public service, 6) public services. Cambodian
administration of Sangha was appointed by government that Somdet Mahasangharaja
or Sanghanayoka must select the qualified Bhikkhus in the Sangha in council along
ง
with other secondary Bhikkhus in the rank of council to be provincial position and
others respectively in every province. Administravitve Bhikkhus hold the official
authority to administrate the Sangha’s six affairs as found in Thai Buddhist Sangha
council.
The Buddhist principles used to promote the leadership of Sangha in
Buddhism shown that Sangha leader must perform these virtur principle of Buddhism
as followings; prejudice 4, Papanikadhamma 3, Iddhipada 4, Pahusutta 5, Bhavana 4,
Kalayanamitta 7, Principle of Dhammakathika 5, 4 ways of Buddha’s teaching
technique, Sappaya 7, Brahmaviharadhamm 4 and Sanghavatthu 4. These virtures
must also be applied for Sangha administration in all 6 Sangha affairs including was
used to manage the business of the monks in six aspects, including administration,
religious education, educational welfare, propagation, public service and public
walfare.
In aspect of leadershipknowledge in the Buddhist Sangha council in the
ASEAN community in case study of Thailand and Cambodia, it found that The
knowledge gained from this research is ‘APIBB K DDSBS Model’ which is considered
to be valuable and important for the presentation of leadership knowledge of the
of the Buddhist Sangha in the ASEAN Community, they are (1) "A" (Agati 4) means the
administrative leader should study the non-bias 4 (2) "P" (Papanika-Dhamma 3) =
administrative leader must avoid the 3 wholesome acts, (3) "I" (Iddhipada 4 )
=religious education leader o should perform the 4 success principle, (4) "B"
(Bahussutanga 5) = religious education leader should follow 5 learning skills, (5) “B”
(Bhavana 4 )= educational welfare leaders should practice the principle of 4
developments, (6) "K" (Kalanamitta-dhamma 7) ) = educational welfare leaders
should follow principle of 7 good friends, (7) "D" ( leader of Buddhism should be a
core principle of Trrmkt ึk 5 (8) "D" (Dhammadesaka-Dhamma 5) = Buddhism
propagation leader should be skillful in 5 principle of Dhamma teaching, (8) ‘D’
(Desanavidhi 4) = Budhism propagation leader must contain 4 ways of Buddha’s
teaching, (9) "S" (Sappaya 7) = the public service leader should 7 comfort principle,
(10) "B" (Brahmavihara 4 ) = the public service leader should follow virtues 4, (11) "S"
(Sangahavatthu 4 ) = the social welfare leader should perform Sangahavatthu 4
Description: 261 หน้า2560-01-01T00:00:00Zคัมภีร์อุปาสกาชนาลังการ : การปริวรรต การแปล และการวิเคราะห์
http://mcuir.mcu.ac.th:8080/jspui/handle/123456789/1054
Title: คัมภีร์อุปาสกาชนาลังการ : การปริวรรต การแปล และการวิเคราะห์
Authors: ดร.ธานี, สุวรรณประทีป; พระศรีสุทธิเวที (ขวัญ ถิรมโน), แดงหน่าย; พระภาวนาพิศาลเมธี วิ. (ประเสริฐ มนฺตเสวี)
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (๑) เพื่อศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์อุปาสกชนาลังการด้าน
ประวัติผู้เรียบเรียง โครงสร้าง เนื้อหา ลักษณะการประพันธ์ สำนวนภาษา และการจารลงใบลาน
(๒) เพื่อปริวรรตคัมภีร์อุปาสกชนาลังการจากต้นฉบับภาษาบาลีอักษรขอมเป็นภาษาบาลีอักษรไทย
และแปลเป็นภาษาไทย (๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์คุณค่าของคัมภีร์อุปาสกชนาลังการด้านการปฏิบัติตนของอุบาสกอุบาสิกา การศึกษา และการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสังคมไทย เป็นการวิจัยเชิง
เอกสารโดยมีวิธีดำเนินการวิจัยคือ นำคัมภีร์อุปาสกชนาลังการที่เป็นภาษาบาลีอักษรขอมฉบับหอสมุดแห่งชาติ ปริวรรตให้เป็นบาลีอักษรไทยและแปลเป็นภาษาไทย จากนั้นจึงวิเคราะห์คัมภีร์ในด้านคุณค่า ประวัติผู้เรียบเรียง โครงสร้าง เนื้อหา ลักษณะการประพันธ์ สำนวนภาษา และการจารลง
ใบลาน และการปฏิบัติตนที่ถูกต้องของอุบาสก-อุบาสิกา
ผลการวิจัยพบว่า คัมภีร์อุปาสกชนาลังการที่นำมาในการปริวรรตเป็นฉบับหอสมุด
แห่งชาติ ใบลานเลขที่ ๓๖๘๙/ข/๑-๓ ต. ๑๘ ช. ๒ มี ๓ ผูก อักษรขอม ภาษาบาลี เส้นจารหน้าละ ๕
บรรทัด พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) จารด้วยไม้ประกับทาชาด เรียกว่า ฉบับล่องชาด รวมอยู่กับเลขที่ ๓๖๘๗ /ก ขุทฺทกนิกาย มีลายเส้นปรากฏชัดเจน สามารถย่อขยายได้ จัดเรียงโครงสร้างเนื้อหาเป็น ๙ หมวดหมู่ มีลักษณะการประพันธ์ ๒ อย่างคือ ๑) แบบร้อยแก้ว เป็นการดำเนินเรื่องตามธรรมดา ๒) แบบร้อยกรอง เรียกว่าคาถาบ้าง เรียกว่า ฉันท์ หรือ ฉันทลักษณ์ ในคัมภีร์อุปาสกชนาลังการส่วนใหญ่เป็นคาถาปัฐยาวัตรส่วนการวิเคราะห์คุณค่าของคัมภีร์ที่มีต่อหลักการปฏิบัติตนที่เหมาะสมของอุบาสกอุบาสิกา คุณค่าด้านการศึกษาและการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสังคมไทย พบว่า พระภทันตอานันทมหาเถระชาวสิงหล ผู้แต่งคัมภีร์ได้อธิบายข้อประพฤติปฏิบัติตนของอุบาสก-อุบาสิกาในฐานะเป็นเครื่องประดับตกแต่งส าหรับอุบาสก-อุบาสิกา ประกอบด้วยหลักธรรม ๙ หมวด คือ ๑) สรณะ การพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุด ๒) ศีล การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย ๓) ธุดงค์ ข้อวัตรปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างละเอียด ๑๓ ข้อ ๔) สัมมาอาชีวะ ไม่ควรทำการค้าขาย ๕
ประการเป็นต้น ๕) บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีทานที่ให้แล้วมีผลเป็นต้น ๖) อันตรายิกธรรม
การว่าร้าย ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นต้น ๗) โลกิยสัมปัตติสมบัติที่เป็นโลกิยะตามที่ตนปรารถนา
๘) โลกุตตรสัมบัติสมบัติที่เป็นโลกุตระคือการบรรลุมรรคผลตามที่ตนปรารถนา ๙) ความสำเร็จแห่ง
ผลบุญ มีคุณค่าด้านการศึกษาและการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
The purposes of this research are; (1) to study Upāsakajanālankāra
scripture in aspect of author, content’s structure, composition style, language and
palm leaf inscribing, (2) transliterating Upāsakajanālankāra scripture from original
Pali-lKhmer language into Pali-Thai letters and translating into Thai version, (3) to
analyze Upāsakajanālankāra influencing to the right practical codes for Buddhist
laity, education, and Buddhism propagation. It was a documentary research by taking
the original Upāsakajanālankāra written in Pali-lKhmer from National Library of
Thailand, transliterating into Pali-Thai and again translating into Thai version with
analyzing the value in aspect of the author’s bibliography, structure, contents,
composition style, idioms, and the right practical codes for Buddhist laity.
The findings were that the transliterating of original Upāsakajanālankāra
scripture with 3 ties taken from of the National Library of Thailand, palm leaf no.
3689/ข/1-3 ต. 18 ช. 2. from Pali-Khmer into Pali-Thai, inscribing 5 lines in one page, ร
inscribed with dotted wood applied with cinnabar by Phraya Srisahathep (Thongpeng)
called Longchad version included in No. 3687/ ก Khuddakanikaya which clear line. Its
contents were divided into 9 sections, appear in 2 types of composing; 1) prose or
common essay, 2) poet called Gāthā, Chanda or Chandalakkhana, mostly appears
in Patthayavatta verse.
An analysis of the scripture influencing to the proper practical codes
for Buddhists, education, and Buddhism propagation in Thailand revealed that Ven.
Bhadanta Anandamahathera, a Sinhalese Bhikkhu, had explained the righteous code
of practice for Buddhists praised as most valuable ornament and jewely for all
Buddhists which was divided into 9 parts, i.e., 1) Saraṇa or Triple Gem referring to
right refuge of Buddhists, 2) Sīla or moral codes for bodily and verbal actions,
3) Dhutanga or 13 austere practices for mental purifying, 4) Sammā-ājiva or right
livelihood consisting of avoiding 5 types of wrong business etc., 5) Puññakiriyāvatthu
ค
or bases of meritorious action such as charity etc., 6) Antarāyikadhamma or the
dangers such as slander, blaming those Noble One etc., 7) Lokiyasampatti or the
wished worldly wealth, 8) Lokuttarasampatti or the wished transcendent property,
and 9) the merit accomplishment. These teachings maintain great value for
education and Buddhism propagation.
Description: 453 หน้า2564-01-01T00:00:00Z